การปรับปรุงลำโพงอาจต้องออกแรงมากสักหน่อย การไขน๊อตบริเวณดอกลำโพง ต้องระวังสุดๆ ไม่งันไขควงอาจทิ่มทะลุลำโพงได้ ภายในอาจมีแผงวงจรเล็กๆที่เรียกว่า Crossover Network ตัว C จะอยู่บนแผงนั้น ในลำโพงบางรุ่น ก็ อาจเดินลอยๆไว้ ไม่ลงแผ่นวงจร แต่ก็ทำงานได้เหมือนกัน ส่วนใหญ่มักจะใช้ขั้วเสียบในการต่อ แนะนำว่า ใช้บัดกรีแทน จะทำให้เสียงดีขึ้น การเปลี่ยนสายไฟก็ให้ระว้งขั้ว + - ให้ถูกต้องด้วย และด้วยสายไฟที่มีคุณภาพดีและขนาดที่ใหญ่ขึ้น คงเปรียบได้กับ ถนนที่กว้างๆ ซึ่งจะทำให้รถวิ่งได้สะดวก กว่าถนนแคบๆเล็กๆ กระแสไฟก็เช่นกันครับ
ส่วนตัว C ที่ว่านี้ ในแบบถูกๆภายในจะใช้แผ่นอลูมิเนียมฟรอยด์ กับชั้นกระดาษ ม้วนขดกันเป็นโรล การทำงานให้เสถียรภาพต่ำ คือเกิดความไม่แน่นอนสูงส่วน C ที่ราคาสูงกว่าจะใช้แผ่นโลหะบางๆ สลับกับฟิล์มโพลิเมอร์ ให้เสถียรภาพ ความแน่นอนในการทำงานสูง แต่ถ้าถามว่าแล้วทำไมผู้ผลิตลำโพงเขาไม่เลือกใช้ตั้งแต่แรก ก็อธิบายได้ว่า ต้นทุนมันสูง เช่น สมมุติว่าตัว C แบบถูกๆ ตัวละ 6-7 บาท เขาสั่ง 1 พันตัว ก็ 6-7 พันบาท แต่ถ้าเป็น C แบบไฮไฟเกรด 1 พันตัวจะกลายเป็น 6 หมื่นบาททันที (นี่แค่ C ตัวเดียว) ไหนจะตู้ วูฟเฟอร์(ลำโพงเสียงต่ำ) ไหนจะทวิสเตอร์(ลำโพงเสียงแหลม) จะเห็นได้ว่าผู้ผลิต เขาต้องแบกภาระต้นทุนขนาดไหน ถ้าเรามองอย่างเข้าใจ เราคงไมไปว่าเขา กรณีนี้ยกเว้น ลำโพงแพงๆ แบรนด์เนม ราคาสูงๆ คงไม่ต้องไปรื้อ ไปแกะ ให้เสียเวลา เพราะเขาไม่ห่วงต้นทุน(ก็เขาคิด+มากับราคาขายแล้วหลายเท่า) ก็ ทำให้ลำโพงแพงๆเสียงดี อย่างที่ว่าครับ
เวลาเราเลือกซื้อคาปาซิเตอร์ ก็ให้ใช้ค่าเดิม เช่น 2.2ไมโครฟ่รัด หรือ 3.3ไมโครฟารัด (ส่วนใหญ่ใช้ 2 ค่านี้)ถามว่าเปลี่ยนแล้ว เสียงเป็นอย่างไร ทำให้เสียงแหลมคมชัดขึ้นสามารถฟังออกได้ แม้ไม่ใช่เซียน ลงทุนไม่กี่ร้อยบาทกับการ กำจัดจุดอ่อนในลำโพง เสียงดีขึ้น ชัดเจน สั่งซื้อได้เช่นกันครับ
- คาปาซิเตอร์ C (capacitor) ไฮไฟเกรด 2.2ไมโครฟารัด หรือ 3.3ไมโครฟารัด ราคาตัวละ 60 บาท
- สายลำโพง เมตรละ 80 บาทขึ้นไป จนถึง กว่า 1,000 บาท/เมตร