วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

DIY กำจัดจุดอ่อนของลำโพง

อย่าเพิ่งตกใจครับ ว่าลำโพงที่ฟังๆกันอยู่ทุกวัน ก็มีจุดอ่อน เริ่มต้นจากสายไฟ(อีกแล้ว) ที่เขาเดินภายในตู้ลำโพง เห็นแล้วเส้นเล็กนิดเดียว คงต้องเปลี่ยนสายไฟแน่ๆ แล้วยังมีตัว C (capacitor) คาปาซิเตอร์ ทำหน้าที่กรองให้เฉพาะความถี่สูง ส่งไปยัง ลำโพงเสียงแหลม โดยทั่วๆไป ก็มักจะให้แค่พอทำงานได้(ของถูกๆ) อีกแล้ว ครับ จุดอ่อนๆ ต้องกำจัด รูปร่างหน้าตาก็คือ ตัวที่เป็นกระป๋องกลมๆเล็กๆ ทางซ้ายและตรงกลาง ที่ราคาตัวละไม่ถึง10บาท มาสิงสถิตย์อยู่ในลำโพงของเรา ส่วนตัวเหลืองๆทางขวามือนี่ พระเอกตัวจริง คาปาซิเตอร์แบบไฮไฟเกรด ตัวละ60บาทครับ ลำโพง 1 คู่ ก็ 2 ตัว 120 บาท กับสายไฟภายในตู้อีกไม่มากนัก ก็ทำให้ลำโพงเสียงดีขึ้นได้ อย่างผิดหูผิดตาไปเลย ครับ
การปรับปรุงลำโพงอาจต้องออกแรงมากสักหน่อย การไขน๊อตบริเวณดอกลำโพง ต้องระวังสุดๆ ไม่งันไขควงอาจทิ่มทะลุลำโพงได้ ภายในอาจมีแผงวงจรเล็กๆที่เรียกว่า Crossover Network ตัว C จะอยู่บนแผงนั้น ในลำโพงบางรุ่น ก็ อาจเดินลอยๆไว้ ไม่ลงแผ่นวงจร แต่ก็ทำงานได้เหมือนกัน ส่วนใหญ่มักจะใช้ขั้วเสียบในการต่อ แนะนำว่า ใช้บัดกรีแทน จะทำให้เสียงดีขึ้น การเปลี่ยนสายไฟก็ให้ระว้งขั้ว + - ให้ถูกต้องด้วย และด้วยสายไฟที่มีคุณภาพดีและขนาดที่ใหญ่ขึ้น คงเปรียบได้กับ ถนนที่กว้างๆ ซึ่งจะทำให้รถวิ่งได้สะดวก กว่าถนนแคบๆเล็กๆ กระแสไฟก็เช่นกันครับ
ส่วนตัว C ที่ว่านี้ ในแบบถูกๆภายในจะใช้แผ่นอลูมิเนียมฟรอยด์ กับชั้นกระดาษ ม้วนขดกันเป็นโรล การทำงานให้เสถียรภาพต่ำ คือเกิดความไม่แน่นอนสูงส่วน C ที่ราคาสูงกว่าจะใช้แผ่นโลหะบางๆ สลับกับฟิล์มโพลิเมอร์ ให้เสถียรภาพ ความแน่นอนในการทำงานสูง แต่ถ้าถามว่าแล้วทำไมผู้ผลิตลำโพงเขาไม่เลือกใช้ตั้งแต่แรก ก็อธิบายได้ว่า ต้นทุนมันสูง เช่น สมมุติว่าตัว C แบบถูกๆ ตัวละ 6-7 บาท เขาสั่ง 1 พันตัว ก็ 6-7 พันบาท แต่ถ้าเป็น C แบบไฮไฟเกรด 1 พันตัวจะกลายเป็น 6 หมื่นบาททันที (นี่แค่ C ตัวเดียว) ไหนจะตู้ วูฟเฟอร์(ลำโพงเสียงต่ำ) ไหนจะทวิสเตอร์(ลำโพงเสียงแหลม) จะเห็นได้ว่าผู้ผลิต เขาต้องแบกภาระต้นทุนขนาดไหน ถ้าเรามองอย่างเข้าใจ เราคงไมไปว่าเขา กรณีนี้ยกเว้น ลำโพงแพงๆ แบรนด์เนม ราคาสูงๆ คงไม่ต้องไปรื้อ ไปแกะ ให้เสียเวลา เพราะเขาไม่ห่วงต้นทุน(ก็เขาคิด+มากับราคาขายแล้วหลายเท่า) ก็ ทำให้ลำโพงแพงๆเสียงดี อย่างที่ว่าครับ
เวลาเราเลือกซื้อคาปาซิเตอร์ ก็ให้ใช้ค่าเดิม เช่น 2.2ไมโครฟ่รัด หรือ 3.3ไมโครฟารัด (ส่วนใหญ่ใช้ 2 ค่านี้)ถามว่าเปลี่ยนแล้ว เสียงเป็นอย่างไร ทำให้เสียงแหลมคมชัดขึ้นสามารถฟังออกได้ แม้ไม่ใช่เซียน ลงทุนไม่กี่ร้อยบาทกับการ กำจัดจุดอ่อนในลำโพง เสียงดีขึ้น ชัดเจน สั่งซื้อได้เช่นกันครับ
- คาปาซิเตอร์ C (capacitor) ไฮไฟเกรด 2.2ไมโครฟารัด หรือ 3.3ไมโครฟารัด ราคาตัวละ 60 บาท
- สายลำโพง เมตรละ 80 บาทขึ้นไป จนถึง กว่า 1,000 บาท/เมตร

DIY สายไฟ

โดยปกติแล้ว สายไฟที่แถมมากับชุดเครื่องเสียง มักจะมีคุณภาพต่ำ ถ่ายทอดเสียงได้ไม่เต็มที่นัก ทำให้ต้องมีการปรับปรุง โดยการเปลี่ยนสายไฟแบบนี้ใหม่ ซึ่งลงทุนไม่มากนัก แลก กับการทำให้คุณภาพเสียงดีขึ้น จากชุดเครื่องเสียงเดิม เริ่มต้นกันเลยครับ
เริ่มจาก แจ๊ค สายนำสัญญาณ คุณภาพดี (ไม่จำเป็นต้องแพงเสมอไป) วัสดุที่ดีทำให้การส่งสัญญาณ เป็นไปอย่างครบถ้วน ไม่ตกหล่น

ทำการเชื่อมบัดกรี แล้วควรเช็คด้วยมิเตอร์ ว่าเกิดการช๊อตกันหรือไม


เมื่อนำมาวางคู่กัน แล้วถ่ายรูป จะเห็นว่า แตกต่างกัน ในรูปร่าง ส่วนคุณภาพเสียง ก็ ไม่ต้องเดาครับว่า เส้นไหนให้เสียงออกมาดีกว่ากัน แถมยังได้ออกแรงแสดงฝีมือ DIY ได้ความภูมิใจไปอีกแบบครับ สำหรับผู้ที่ไม่ถนัดทำ ก็สั่งทำได้ ราคาเป็นกันเอง ไม่แพงครับ ราคาตามรายการข้างล่างนี้
- RCA Jack มีตั้งแต่ 80 บาท/หัว(ในภาพ) ไปจนถึงกว่า1,000 บาท/หัว(แบรนด์เนม) ตามความต้องการ
- สายนำสัญญาณ มีตั้งแต่ 80 บาท/เมตร(ในภาพ) ไปจนถึงกว่า1,000 บาท/เมตร(แบรนด์เนม)ตามความต้องการ